รอยแผลเป็น เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ไม่ง่าย โดยเฉพาะหากทำการรักษาอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะทำให้คุณเสียทั้งเงิน และเสียทั้งเวลาเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า หรือแลกการรักษารอยแผลเป็นที่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นก่อนที่จะทำการรักษา เราควรต้องทำความรู้จักรอยแผลเป็นแต่ละประเภทว่ามีอะไรบ้าง? เกิดขึ้นจากบาดเจ็บชนิดไหน? เพื่อทำความเข้าใจกับขั้นตอนการรักษาและเลือกวิธีการรักษาที่เห็นผลไว เหมาะกับรอยแผลเป็นของคุณมากที่สุด
รู้จัก รอยแผลเป็น เกิดจากอะไร?
รอยแผลเป็น คือรอยที่หลงเหลือหลังจากบาดแผลหายสนิท เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสร้างกระบวนการรักษาแผลสดที่เกิดขึ้นจากบาดเจ็บต่างๆ เช่น แผลผ่าตัด แผลจากอุบัติเหตุ และ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการผลิตคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ เพื่อให้บาดแผลหายเป็นปกติ
ลักษณะรอยแผลเป็น มีกี่แบบ?
รอยแผลเป็นทั่วไป
รอยแผลเป็นแบบทั่วไป เป็นแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งเป็นรอยแผลชนิดที่สามารถพบได้บ่อยหลังจากที่รอยแผลสดหายดี แผลเป็นชนิดนี้แรกเริ่มมักปรากฏเป็นสีแดงหรือสีคล้ำ นูนขึ้นมาจากผิวหนัง จากนั้นสีจะค่อยๆจางลง และรอยนูนค่อยๆยุบลงราบเรียบเสมอกับผิวหนัง
รอยแผลเป็นนูน
รอยแผลเป็นนูน เป็นแผลเป็นที่เกิดจากการที่ร่างกาย ขาดความสมดุลในการผลิตคอลลาเจนในการรักษาแผล จึงทำให้แผลเป็นเนื้อนูนขึ้นมากจากผิวหนังปกติ มักเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ผิวมีความตึงเช่น ข้อต่อหรือกลางหน้าอก รอยแผลเป็นนูนนี้มักจะพบได้มากในช่วงระยะ 6 เดือนแรก หลังจากนั้นก็จะค่อยๆยุบลง และจะกลับเข้าสู่แผลเป็นคงที่ (stable scar) มีลักษณะใกล้เคียงแผลเป็นปกติในช่วงประมาณ 1 ปีหลังเกิดรอยแผลเป็นได้
รอยแผลเป็นคีลอยด์
แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนมากว่าปกติ เพื่อรักษารอยแผลทำให้เนื้อเยื่อของแผลเป็นเกิดการเจริญเติบโตจนเกินขอบเขตของแผลเดิม มักจะเกิดในกลุ่มผู้ป่วยที่มีผิวสีเข้ม ในตำแหน่งที่ หัวไหล่ ติ่งหู กลางหน้าอก หรืออาจพบในกลุ่มทางพันธุกรรม รวมถึงผู้ที่มีประวัติการเกิดคีลอยด์ในพ่อหรือแม่ เพราะแผลเป็นคีลอยด์นี้เชื่อว่าสามารถสร้างสารที่เรียกว่าคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติจึงทำให้เกิดรอยแผลเป็นคีลอยด์ได้
รอยแผลเป็นหลุม
รอยแผลหลุม เป็นรอยแผลที่มักเกิดจากสิว ที่มีการอักเสบรุนแรง หรือปัญหาจากโรคผิวหนังต่างๆ เช่น โรคอิสุกอิใส ทำให้เนื้อเยื่อของผิวถูกทำลาย และเกิดพังผืดใต้ผิวหนังจนมีลักษณะเป็นหลุมยุบตัวระดับของผิวหนังจากปกติ จึงทำให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน เป็นหลุมเป็นบ่อ กลายเป็นปัญหาผิวหนังได้
รอยแผลเป็นหดรั้ง
แผลเป็นหดรั้ง เป็นรอยแผลเป็นที่มักเกิดจากการถูกไฟไหม้ หรือถูกความร้อนจนทำให้ผิวหนังเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงระดับลึก ซึ่งอาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้จนทำให้ผิวหนังตึง บีบรัด รั้ง ทำให้ข้อต่อบริเวณที่เป็น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่
รอยแผลเป็นแตกลาย
รอยแผลเป็นแตกลาย Stretch Marks เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการที่ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เช่นมีการผิวมีการยืดขยายหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว พบมากในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ คนที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินแตกตัวออก เมื่อผิวหนังสมานตัวกัน รอยแตกลาย มีสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาลแดง ในช่วงแรก และหากมีการปล่อยทิ้งไว้รอยแตกลายก็จะกลายเป็นสีขาว ซึ่งยากแก่การรักษา
วิธีการรักษาแผลเป็น มีอะไรบ้าง? แต่ละวิธีเหมาะกับใคร
เลเซอร์รอยแผลเป็น
เลเซอร์รอยแผลเป็น เป็นการส่งพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิวด้วยคลื่นความยาว และคลื่นความถี่ที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ลึกถึงชั้นเซลล์ผิว (เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิว) อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ จึงช่วยให้สีแผลเป็นดูจางลง ลดความนูนของแผล ให้ดูเนียนยิ่งขึ้น
- ข้อดี เป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย ไม่เจ็บ สามารถกระตุ้นคอลลาเจนตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวได้อย่างดี
- ข้อเสีย อาจเกิดรอยแดง บวม ระคายเคือง ขึ้นได้
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีรอยแผลเป็นทุกชนิดที่ต้องการเห็นประสิทธิภาพการรักษาที่ชัดเจน รวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรก
การฉีดสเตียรอยด์
การฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบการเกิดรอยแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ ตัวยาที่นำมาใช้รักษา Triamcinolone acetonide ซึ่งเป็นยาฉีดเฉพาะที่ สามารถลดการอักเสบ ฉีดเข้าในบาดแผลเป็นโดยตรง ทำให้มีอาการเจ็บได้พอสมควร แนะนำให้ฉีดแผลเป็นนี้ในช่วงระยะประมาณไม่เกิน 1 ปีแรกและในปีแรกควรฉีดประมาณเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อการตอบสนองที่ดี
- ข้อดี เป็นการรักษาที่ปลอดภัยและไม่เจ็บปวดมากนัก ช่วยทำให้รอยคีลอยด์เกิดการยุบตัวลงได้
- ข้อเสีย ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย บางรายแผลลุกลามทั่วร่างกายจนเกิดการติดเชื้อเข้าในกระแสเลือด
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีแผลเป็นบนผิวหนังในระยะที่กลายเป็นแผลคีลอยด์แล้ว
การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น
การผ่าตัดรอยแผลเป็นคืออีกวิธีหนึ่งเพื่อลดขนาดของแผลเป็น ซึ่งศัลยแพทย์จะทำการตัดแผลเป็นบางส่วนออกแล้วเย็นเก็บแผลใหม่ เพื่อเป็นการลดขนาดของรอยแผลเป็นให้เล็กลง และมีความเรียบเนียนมากขึ้น
- ข้อดี แผลเล็ก ลดการติดเชื้อ ทำให้ดูแลรักษาง่ายกว่า
- ข้อเสีย อาจจะต้องกลับมาทำซ้ำอยู่หลายครั้ง และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีรอยแผลเป็นขนาดเล็กไม่กว้างมากจึงสามารถให้ผลลัพธ์ได้ดี
การทายารักษารอยแผลเป็น
การทายาจะมีส่วนประกอบเป็นสารที่ช่วยลดการอักเสบ และลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้เช่น Allium Cepa (สารสกัดจากหัวหอม), Centella Asiatica (สารสกัดจากใบบัวบก), Niacinamide (ไนอาซินาไมด์) หรือ Vitamin B3 (วิตามินบี 3) และ Hyaluronic Acid (กรดไฮยาลูรอนิค) ซึ่งมีผลช่วยให้รอยแผลเป็นที่เป็นรอยแดง รอยคล้ำดำ จะค่อยๆ ดูจางลง
- ข้อดี ช่วยลดร่องรอยดังกล่าวที่เกิดขึ้นให้ดูจางลง เป็นยาใช้ภายนอกบำรุงผิวพรรณในบริเวณแผลเป็นให้ดูดี
- ข้อเสีย ควรต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนหรืออาจจะไม่เห็นผลเลย
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด ผู้ที่ต้องการลดรอยแผลเป็นนูน แผลเป็นจากสิว แผลเป็นคีลอยด์ เป็นต้น
ผลัดผิวด้วยเครื่อง M.D.
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไมโครเดอร์มาเบรชัน (Microdermabrasion: MD) เป็นการใช้เกล็ดอัญมณีที่มีความละเอียด ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดออกไปบางส่วน โดยไม่ลึกถึงระดับที่จะทำให้เกิดแผล ด้วยการทำงานระบบสุญญากาศ จึงสามารถช่วยลบรอยแผลเป็นให้จางลงได้
- ข้อดี ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยดำ รอยแดง แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ช่วยลดรอยแผลเป็น ช่วยผิวขาวกระจ่างใสเรียบเนียนได้
- ข้อเสีย ไม่สามารถแก้ปัญหาในผิวชั้นลึกได้ เพราะเป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกเท่านั้น
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีผิวบางหรือผิวผสม หรือมีรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกมากสามารถต้องการกำจัดออกได้
Cryotherapy
Cryotherapy เป็นนวัตกรรมการบำบัดรอยแผลเป็นแบบใหม่ โดยใช้ความเย็นเพื่อลดอาการปวดและอักเสบของผิวหนัง รวมถึงรอยแผลเป็นที่มีลักษณะนูน ด้วยการใช้ความเย็นจากสาร cryogen ที่นิยมใช้ คือ ไนโตรเจนเหลว(Liquid nitrogen) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอย ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รอยแผลต่างๆ ให้ดูจางหายไป
- ข้อดี ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้รังสี จึงลดผลข้างเคียงและลดผลกระทบต่ออวัยวะอื่นในร่างกาย
- ข้อเสีย ต้องทำโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางเท่านั้น
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออักเสบ กล้ามเนื้อบาดเจ็บจากรอยแผลเป็นขนาดเล็กเท่านั้น
Pressure therapy
Pressure therapy เป็นการรักษารอยแผลเป็นด้วยแรงกด ถือเป็นวิธีที่ใช้มานานในการรักษารอยแผลเป็น ด้วยการใช้แรงกดที่สม่ำเสมอเพื่อให้แผลมีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เกิดเป็นรอยนูนมักใช้กับรอยแผลเป็นนูนเพื่อให้รอแผลเกิดการยุบตัว
- ข้อดี ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อช่วยซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นให้รอยแผลกลับมาสมานกันเหมือนเดิมได้อย่างปกติ
- ข้อเสีย อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาอยู่หลายครั้ง และอาจทำให้ผิวเกิดรอยแดงขึ้นได้
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีการปิดแผลปลูกถ่ายผิวหนังและเนื้อเยื่อ เพื่อช่วยให้รอยแผลสมานกันได้ดียิ่งขึ้น
แผ่นซิลิโคนเจลแผ่น
อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความปูดนูนของรอยแผล เป็นวัสดุปิดแผลซิลิโคนที่มียืดหยุ่น มีเนื้อสัมผัสนิ่ม มีคุณสมบัติยึดเกาะติดกับผิวได้ดี มักใช้ในการรักษาผิวเพื่อช่วยให้แผลเป็นนูนเรียบและเรียบ แนะนำให้ติดอย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมง ต่อเนื่องนาน 6-12 เดือน
- ข้อดี เป็นการรักษารอยแผลเป็นที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
- ข้อเสีย ราคาแพง ไม่เหมาะสำหรับการรักษาแผลเป็นบนใบหน้า และยังไม่มีผลการวิจัยที่แน่นอน
- เหมาะกับใคร ผู้ที่มีรอยแผลเป็นขนาดเล็ก ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน และผู้ที่ต้องการลดความนูนของรอยแผล
การฉีดฟิลเลอร์รักษารอยแผลเป็น
การฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปยังบริเวณรอยแผลเป็น จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เติมเต็มในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้รอยแผลเป็นที่เกิดการยุบตัวดูตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียน รอยแผลเป็นดูจางลง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน เพราะเป็นสารจากธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายไปได้เอง จึงมีความปลอดภัยสูง
- ข้อดี เห็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีว่ารอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น และจางลงอย่างชัดเจน
- ข้อเสีย อาจต้องกลับมาฉีดเติมซ้ำทุก 6-8 เดือน เพื่อคงสภาพผลลัพธ์เอาไว้
- เหมาะกับใคร สำหรับผู้ที่มีปัญหารอแผลเป็นหลุมลึก ที่ต้องการได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด และเห็นผลแบบเร่งด่วน
เครื่องเลเซอร์รอยแผลเป็น
- Picoway Laser
เลเซอร์ช่วยรอยแผลเป็นที่เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ระบบใหม่ล่าสุด มีความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร ที่มีการปล่อยพลังงานคลื่นแสงแบบ Picosecond ซึ่งเป็นการปล่อยพลังงานที่สั่นมาก (1 Picosecond ต่อ 1 ช็อต หรือเทียบเท่า 1 ในล้านล้านวินาที) ความเร็วกว่าเลเซอร์ Q – Switched หรือ Nanosecond ถึง 1,000 เท่า มีฟังก์ชั่นมากมาย สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดภายในเครื่องเดียว
เนื่องจากให้พลังงานที่สม่ำเสมอ ในพื้นที 6×6 ตร.มม. มี 100 จุด ซึ่งจะทำให้เกิด Laser-induced Cavity (LIC) ในชั้นผิวหนังแท้ (dermis) จึงสามารถรักษารอยแผลเป็นได้อย่างครอบคลุมทุกประเภทโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ - ไอพีแอล (Intense pulse light)
การใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มสูงใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันไปโดยจะอยู่ที่ประมาณ 420-1200 nm (นาโนเมตร)ไปจับกับเม็ดสีเมลานิน (melanin) เพื่อช่วยรักษาปัญหารอยแผลเป็นและช่วยกระตุ้นฟื้นฟูผิวบริเวณที่ต้องการ ระหว่างทำอาจทำให้ผิวเกิดรอยไหม้และต้องกลับมาทำอยู่หลายครั้ง ถึงจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ - CO2 Laser
Fractional CO2 Laser (Co2 Laser) เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 10,600 นาโนเมตร มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถตัดและทำลายเนื้อเยื่อในจุดที่มีปัญหาโดยไม่ทำให้เลือดออก และถูกดูดซับด้วยโมเลกุล
ของน้ำที่อยู่ในเซลล์ และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนอย่างรวดเร็ว จึงมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเพื่อรักษารอยแผลเป็น สามารถเปลี่ยนหัวเป็น Hand piece และปล่อยลำแสงเป็นลำแสงตรง เพื่อช่วยตัดเนื้อเยื่อเป็นจุดเล็กๆ เพื่อลดผลข้างเคียงด้านรอยดำได้ดีจึงนำมาใช้ประโยชน์ในการเก็บรายละเอียดเช่น แผลเป็นและรอยหลุมสิวได้ - Alexandrite Laser
alexandrite laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นผลึก Alexandrite มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 755 นาโนเมตร สามารถส่งพลังงานลงได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ และสามารถดูดซึมได้ดีด้วยเม็ดสีเมลานินจึงเหมาะในการนำมาใช้รักษารอยแผลเป็นขนาดเล็กหรือรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกมากได้ สามารถให้ผลลัพธ์ได้ดีหากมีการกลับมาทำซ้ำอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำทุกครั้ง
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการทำเลเซอร์รอยแผลเป็น?
หลักการทำเลเซอร์ อาจจะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นหรือ เกิดรอยดำจากการถูกแสงแดดได้ง่ายส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหนังอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ การอักเสบระคายเคือง ผู้ที่ทำเลเซอร์จึงต้องระวังไม่ให้แผลสัมผัสกับสารที่ทำให้ระคายเคืองผิว นำไปสู่การอักเสบ เช่น โฟมล้างหน้า โทนเนอร์ กรดผลไม้ แอลกอฮอล์ น้ำยาฆ่าเชื้อ ลองทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นควรดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามที่แพทย์แนะนำอยู่เสมอ
เตรียมตัวก่อนเลเซอร์แก้ไขแผลเป็น?
- งดใช้ยา ยาบำรุง สมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลต่อการผ่าตัด เช่น ยาแก้ปวด, แอสไพริน, วิตามินดี, วิตามินซี และน้ำมันตับปลา เป็นต้น
- ควรงดกิจกรรมทุกชนิดที่สัมผัสแดดโดยตรง ประมาณ 2 สัปดาห์
- ควรงดการสครับผิวอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดประมาณ 3 วัน
- ควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นลดการบาดเจ็บได้
ดูแลหลังเลเซอร์รอยแผลเป็น
- ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ หรือสบู่อ่อนตามที่แพทย์สั่ง วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น
- ควรซับแผลให้แห้งแล้วทาครีม หรือ ขี้ผึ้งปฏิชีวนะ ที่แพทย์ทำการสั่งจ่ายให้ อย่างน้อย 5-7 วัน
- ควรทามอยเจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวเป็นพิเศษ บริเวณทั่วแผลอย่างน้อยภายใน 7- 10 วัน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดนาน ๆ 3-4 สัปดาห์
- ควรทากันแดด SPF 30 ขึ้นไป บริเวณที่ยิงเลเซอร์อย่างน้อย 1 เดือน
- งดการอาบน้ำอุ่นจัด ( Hot baths ) การอาบแดด และ การอบซาวน่า อย่างน้อย 14 วัน
- งดการออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 7-14วัน
รีวิวเลเซอร์รักษารอยแผลเป็น
สรุป
การรักษารอยแผลเป็นถึงแม้จะสามารถทำได้หลายวิธี แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหา จะช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์หลังการรักษาที่ชัดเจนรวดเร็วขึ้น เช่น การทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างสีผิวใหม่ ได้ลึกถึง (Deep Dermis) ซึ่งสามารถรักษารอยแผลเป็นต่างๆโดยเฉพาะรอยแผลเป็นนูนให้จางลงได้ นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ หรือ Hyaluronic Acid (HA) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะช่วยเติมเต็มชั้นผิวที่มีการยุบตัวจากรอยแผลเป็นให้ตื้นขึ้นได้ทันที