Home » บทความผิวพรรณ » 8 วิธีทำให้หน้าใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ หน้าเนียนใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ

8 วิธีทำให้หน้าใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ หน้าเนียนใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ

วิธีทำให้หน้าใส เป็นธรรมชาติ

วิธีทำให้หน้าใส

หน้าใสไร้สิวดูมีออร่า เรียบเนียน เชื่อว่าเป็นความต้องการของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทำให้ในปัจจุบันมีวิธีที่จะช่วยทำให้หน้าใสอยู่มากมากทั่งเป็นวิธีจากธรรมและวิธีทางการแพทย์ วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส เรียบเนียน ดูอิ่มฟูสุขภาพดี มีออร่าที่ไม่ควรพลาดมาแนะนำ ซึ่งจะมีวิธีไหนที่คุณสามารถทำตามได้บ้างมาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

หน้ากระจ่างใส คืออะไร

หน้าใส คือ ผิวหน้าที่มีสีผิวสม่ำเสมอ เรียบเนียนไม่มีสิว ไม่หมองคล้ำ มีความชุ่มชื้นอิ่มน้ำดูมีสุขภาพดี เหมือนผิวมีชีวิตไม่แห้งกร้าน ไร้จุดด่างดำจากรอยสิว ฝ้า กระ ให้ต้องรู้สึกสะดุดบนใบหน้า สามารถบำรุงรักษาได้หลายวิธี ซึ่งหน้าใสของผู้หญิงและผู้ชายอาจมีความแตกต่างกันตามพื้นฐานของการดูแลผิว และฮอร์โมนที่แตกต่างกัน

หน้าหมองคล้ำ ผิวหน้าไม่กระจ่างใส

สาเหตุของหน้าหมองคล้ำ เกิดจากอะไร

ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับวิธีทำให้หน้าใส เรามาหาสาเหตุที่จะทำให้ผิวหมองคล้ำ ว่าเกิดจากอะไรบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวกลับมาหมองคล้ำซ้ำ ๆ ได้อีก ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหมองคล้ำได้แก่

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
    การที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลทำให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนได้ลดลง ผิวจึงมีการเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ มีริ้วรอย และผิวขาดความแน่นกระชับ
  • ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด
    การอยู่กล้างแจ้งท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจ้าอาจทำให้รังสียูวีจากแดดจะทำลายอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิวหนัง และทำให้ผิวเกิดการสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าดูมองคล้ำ
  • การนอนดึกพักผ่อนไม่เพียงพอ
    การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นการช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสเปล่งปลั่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลา 22.00-02.00 น. ที่จะหลั่งโกรทฮอร์โมนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอในร่างกายของตัวเอง และฟื้นฟูร่างกายรู้สึกสดชื่น
  • สภาพอากาศ
    การอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นเวลานานๆ หรือการอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น จนผิวหน้ามีอาการแห้งกร้าน แตกเป็นขุย และหมองคล้ำลงได้
  • ความเครียด
    เมื่อเผชิญอยู่ในสภาวะที่เกิดความเครียด จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Cortisol (คอร์ติซอล) ซึ่งทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติจนทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ และเกิดสิวได้ง่ายนั่นเอง
  • ดื่มน้ำน้อย
    การดื่มน้ำให้เพียงพออาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ขาดความชุ่มชื้น และผิวแห้งกรานในที่สุด
  • ผิวหน้าขาดวิตามินบางชนิด
    จากการศึกษาพบว่าการขาดแร่ธาตุและวิตามินบางชนิด เช่น Vitamin A, Vitamin B, Vitamin C และ Vitamin E ซึ่งเป็นอาหารผิวที่ร่างกายต้องการ ก็อาจจะส่งผลทำให้ผิวหมองคล้ำลงได้

8 วิธีทำให้หน้าใส แบบเร่งด่วน

วิธีทำหน้าใส มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร

ในปัจจุบันมีหลายวิธีที่จะช่วยฟื้นบำรุงผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใสได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และตัวช่วยทางการแพทย์ ซึ่งวิธีที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ ได้แก่

1. การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการทำทรีทเม้นท์บำรุงผิว ด้วยการฉีดสารสกัดจากวิตามินที่มีอยู่ในครีมบำรุงผิวโดยเฉพาะตัวที่ผิวดูดซึมได้ยาก ลงไปยังผิวหนังชั้นกลางของผิวหน้า ด้วยวิธีการสะกิดทั่วทั่งใบหน้า หรือฉีดเข้าทางใบหน้า เพื่อกระตุนการผลัดเซลล์ผิวเก่า และเร่งสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่กระจ่างใส ได้อย่างรวดเร็วกว่าการทาครีมบำรุงแบบทั่วไปหลายเท่า

  • ข้อดี : เป็นการบำรุงผิวใกล้กลับมากระจ่างใสได้รวดเร็วกว่าการทาครีมบำรุงผิว
  • ข้อเสีย : อาจเกิดรอยช้ำรอยแดงเล็กๆจากเข็มทั่วใบหน้า ซึ่งถ้าหากได้รับการฉีดที่ไม่สะอาดพอ จะทำให้ผิวหน้าเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา
  • เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ขาดความชุ่มชื้น และผู้ที่ต้องการมีผิวหน้าที่กระจ่างใสขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฉีดมาเด้หน้าใส ลดสิว

2. ฉีดมาเด้คอลลาเจน

การฉีดมาเด้คอลลาเจน (made collagen) คือ ศาสตร์การบำรุงผิว แบบโฮมีโอพาธีย์ (HOMEOPATHY) โดยการฉีดตัวยาที่ประกอบไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ลงไปที่บริเวณใบหน้า ตามตำแหน่งการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ผิว จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผดผื่น สิว ฝ้า กระ และความหมองคล้ำ

  • ข้อดี : มีกลไกลในการช่วยขับสารพิษและสิ่งสกปรกที่ตกค้าอยู่บนผิว ช่วยลดการเกิดสิวอักเสบและสิวอุดตัน พร้อมทั้งปรับสมดุลในผิวทำให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
  • ข้อเสีย : อาจมีอาการบวมแดงจากรอยเข็มซึ่งจะสามารถหายได้เองใน 2-3 วัน
  • เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวหน้าระเอียดเรียบเนียนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฉีดวิตามินให้ผิวใส

3. ฉีดวิตามินซีผิว

การฉีดวิตามินซีผิวเป็นส่วนช่วยที่จะทำให้ผิวใสขึ้นได้เนื่องจากวิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) ถือเป็นวิตามินที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิว จึงทำให้ผิวดูกระจ่างใส ลดจุดด่างดำให้จางลง และทำให้ผิวจะดูเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน

  • ข้อดี : ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ลดความหมองคล้ำของผิว พร้อมปรับให้ผิวมีความกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ข้อเสีย : ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร ต้องมีการฉีดอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ผิวกลับมาหมองคล้ำได้อีก
  • เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ไปพร้อมๆกับการมีผิวที่กระจ่างใส โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ มีฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เห็นได้ชัด

ทำหน้าใสด้วย Dual Yellow

4. เลเซอร์หน้าใส Dual Yellow

เลเซอร์หน้าใส Dual Yellow Laser คือ การใช้เครื่องเลเซอร์ ที่มีการผลิตแสงออกมาได้ถึง 2 ชนิด คือ แสงสีเหลือง ความยาวคลื่น 578 nm. ที่มีประสิทธิภาพในการรักษารอยโรคที่มีสีแดง และแสงสีเขียว ความยาวคลื่น 511 nm. ซึ่งเหมาะสำหรับรักษาปัญหาผิวที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี melanin

  • ข้อดี : มีประสิทธิภาพในการปรับสภาพสีผิวให้มีความกระจ่างใสขึ้นได้ทันทีหลังการทำตั้งแต่ครั้งแรก
  • ข้อเสีย : ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ได้ให้คงอยู่ในระยะยาว
  • เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ และต้องการปรับสภาพผิวให้ขาวใสแต่กลัวเข็ม

บทความแนะนำ : เลเซอร์หน้าใส คืออะไร? มีกี่แบบ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? เลือกแบบไหนดี


5. โฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis)

โฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis) หรือ โฟโน เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียง (ultrasonic wave) ในการผลักตัวยาหรือวิตามินเข้าสู่ผิวหนังอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความเชื่อว่าจะทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นรวดเร็วกว่าการทาครีม (แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ออกมายืนยัน)

  • ข้อดี : รู้สึกถึงผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการทำว่าผิวหน้ามีความกระจ่างใสขึ้น
  • ข้อดี : หากใช้คลื่นเสียงความถี่สูงมากเกินไป หรือมีการใช้เครื่องมือในจุดเดิมนานเกินไป อาจทำให้เซลล์เกิดความเสียหายได้
  • เหมาะกับใครบ้าง : เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบทาครีม แต่อยากมีผิวหน้าที่กระจ่างใส เรียบเนียน ปราศจากรอยด่างดำอย่างเร่งด่วน

6. การทำไอออนโต

การทำไอออนโตฟอเรสิส หรือ Iontophoresis ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยทำให้หน้าใสขึ้น ด้วยการใช้ประจุไฟฟ้าชนิดกระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำ เป็นตัวกระตุ้นรูขุมขนให้เปิดกว้างขึ้นแล้วผลักผลักวิตามินให้ซึมซาบลงสู่ผิวหนังฉันลึกได้อย่างรวดเร็ว นิยมใช้เพื่อรักษาปัญหาผิวหมองคล้ำให้กลับมาสดใสขึ้น และช่วยลดปัญหาสิว ฝ้านั่นเอง

  • ข้อดี : ช่วยรักษาฝ้า กระตื้น ลดริ้วรอยและจุดด่างดำ รวมถึงลดรอยแผลเป็นบางชนิด
  • ข้อเสีย : ต้องทำหลายครั้ง อาจจะ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน จึงอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
  • เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่อยากมีผิวหน้ากระจ่างใส ลดความหมองคล้ำของผิว

มาส์กหน้าใส

7. การมาส์กหน้าใส

การมาส์กหน้าใส เป็นการดูแลสุขภาพผิวหน้าให้กลับมากระจ่างใสด้วยมาส์กสูตรเข้มข้นด้วยที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อผิว สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึก เพื่อให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส เนียนเด้งขึ้นทุกครั้งหลังการทำ

  • ข้อดี : ราคาไม่สูงมาก และเป็นการทำหน้าใสที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ
  • ข้อเสีย : ต้องทำเป็นประจำต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าการทำเลเซอร์ หรือการฉีดผิวจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน
  • เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่อยากหน้าขาวใส แต่กลัวเจ็บ กลัวเข็ม และไม่กล้าเลเซอร์

8. หน้าใสด้วยการทำอิเล็คโตรพอเรชั่น

อิเล็คโตรพอเรชั่น (Electroporation) เป็นการผลักวิตามินหรือตัวยาบำรุงเข้าสู่ผิวด้วยประจุไฟฟ้า ในรูปไอออนบวก และ ไอออนลบเพื่อทำให้เกิด Micro channel ชั่วคราวประมาณ 1-2 วินาทีขึ้นที่ผนังเซลล์ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างชั้นไขมันในเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงชั่วขณะ เพื่อทำให้ผิวสามารถดูดซึมสารบำรุงวิตามินและอาหารผิวต่างๆได้ดียิ่งขึ้น

  • ข้อดี : เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัย ช่วยเพิ่มความสดใส เรียบเนียนให้กับผิวหน้า พร้อมกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
  • ข้อเสีย : อาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วตามต้องการ ต้องมีการทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นความชัดเจน
  • เหมาะกับใคร : เหมาะกับคนที่ต้องการกระตุ้นให้ผิวหน้ามีความสดใสเปร่งปรั่งขึ้น ไม่ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวบ้านหรือผิวแพ้ง่าย

การดูแลและบำรุงผิวหน้าให้ใสอยู่เสมอ

นอกจากวิธีทางการแพทย์ที่สามารถทำให้หน้าใสได้แบบเร่งด่วนแล้ว การมีผิวหน้ากระจ่างใสไร้สิวก็สามารถทำได้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งวิธีที่จะมาแนะนำในวันนี้คือ

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ : เป็นหนึ่งในวิธีธรรมชาติ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาดิโอ แอโรบิค โยคะ หรือว่ายน้ำ ที่จะทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด : เพราะแสงแดด จะทำให้ผิวมีการผลิตเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มีจำนวนมากขึ้น จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำ
  • ทาครีมบำรุงผิวหน้าเป็นประจำ : ถือเป็นวิธีธรรมชาติที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยการใช้ครีมสูตรเข้มข้น ที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งมักมีส่วนประกอบของ whitening, วิตามิน C, วิตามิน E, Retinol, Arbutin, AHA , กลีเซอรีน และคอลลาเจน ที่ช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้นกระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • นอนหลับพักผ่อนให้พอ : การพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลา 22.00 – 02.00 น. (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด) โดยร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ที่จะถูกผลิตออกมาในขณะที่นอนหลับลึก ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมส่วนต่างๆขอร่างกายโดยเฉพาะผิวหนัง
  • กินอาการที่เป็นประโยชน์ต่อผิว : ถือเป็นการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก โดยเฉพาะอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน C, วิตามิน E, กรดไขมันโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 , ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane), ซิงค์, สารต้านอนุมูนอิสระ และไอโซฟลาโวน (Isoflavone) เช่น มะเขือเทศ ถั่วเหลือง บล็อกโคลี่ อะโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เป็นต้น
  • การทานวิตามินและอาหารเสริม : โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ ซิงค์ หรืออาหารเสริมที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยทำให้ผิวดูสดใสขึ้น และลดเลือนจุดด่างดำให้จางลง
  • การสคลับผิวเพื่อผลัดเซลล์ : การสครับผิวหน้าเบาๆ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำของผิวหน้า เพราะสามารถเร่งผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมช่วยให้เผยผิวใหม่ที่กระจ่างได้ไวขึ้น แต่วิธีนี้อาจจะต้องใช้ความระมัดระวัง และเลือกเม็ดสครับที่ไม่บาดผิว เพราะหากขัดผิวแรงเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองจนเกิดสิวได้เช่นกัน

ผู้หญิงและผู้ชาย ใช้วิธีเหมือนกันไหม?

การทำให้หน้าใสของผู้หญิงกับผู้ชายสามารถเลือกใช้วิธีเหมือนกันได้ตามความเหมาะสมกับสภาพผิว แต่เนื่องจากสภาพโครงสร้างผิวหน้าของผู้หญิงและผู้ชายที่มีความแตกต่างกัน รวมถึงพื้นฐานการดูแลตัวเองที่แตกต่างกัน รวมถึงฮอร์โมนที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้ผู้ชายอาจจำต้องใช้จำนวนครั้งในการรักษาที่มากกว่า (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล)

เนื่องจากวิธีการทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งในแต่ละวิธีจะมีระยะการเห็นผลที่แตกต่างกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการให้ผิวหน้าใสขึ้นอย่างเร่งด่วนภายใน 3-7 วัน ก็สามารถทำได้โดยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกหัตถการที่มีความเหมาะสมกับสภาพผิว

สรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวิธีทำให้หน้าใสที่ได้แนะนำไปด้านบน ซึ่งทุกคนสามารถเลือกทำได้ตามความเหมาะสมของสภาพผิวของตัวเอง แต่สำหรับใครที่อยากได้ผลลัพธ์แบบเร่งด่วน ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการฉีดเมโสหน้าใส ฉีดมาเด้ คอลลาเจน เติมวิตามินผิว รวมถึงการทำเลเซอร์หน้าใส Dual Yellow เพิ่มเติมได้


ข้อมูลอ้างอิง

Skin Whitening. https://www.sciencedirect.com/topics/chemistry/skin-whitening

Efficacy of handheld iontophoresis device in enhancing transdermal vitamin C delivery: A split-face clinical trial. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/35094483/